ฟังบทความพูดได้ ที่นี่ค่ะ
อ่านบทความ #25 : วิธีตั้งเป้าหมาย ทำได้ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน (ฉบับสอนลูก)
การตั้งเป้าหมาย ถือเป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดอันดับแรกในวิชาแห่งความสำเร็จ เพราะชีวิตเราไม่สามารถไปถึง หรือ ได้รับ สิ่งที่ต้องการได้เลย ถ้าปราศจาก “เป้าหมาย”
.
พูดง่ายๆ ในเมื่อไม่มีจุดหมายปลายทางให้ไปถึง
แม้จะขับรถ ขับเรือ ขึ้นเครื่องบิน เป็นเวลานานก็ไม่ช่วย
หนำซ้ำยังทำให้เหนื่อยล้า ท้อแท้ หมดแรงกลางทาง ล่องลอยอยู่ในทะเลหาทางออกไม่ได้เลย
.
สมองของคนเราทำงานตอบสนองเป้าหมาย (Goal-seeking machanism) ไม่ว่าเป้าหมายนั้นคืออะไร จิตใต้สำนึกที่ไม่มีวันหลับใหลของเราจะทำงานทั้งวันทั้งคืนที่จะพิชิตเอามาให้ได้
.
ในเมื่อการเป้าหมายสำคัญมากขนาดนี้
แต่คุณรู้มั้ยคะ? ว่ามีคนแค่ 3% เท่านั้นที่มีเป้าหมายของชีวิต
.
เป็นเพราะ 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ...
1. ไม่รู้ว่าการตั้งเป้าหมายทำยังไง
2. กลัวความล้มเหลว ไม่เชื่อตัวเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าฝัน ไม่กล้าเขียนเป้าหมาย
.
คำถามที่เอวาได้รับเสมอๆ เวลาพูดเรื่องเป้าหมาย ก็คือ “ถ้าตั้งเป้าหมายแล้วมันทำไม่ได้ จะทำยังไงคะ? กลัวเสียหน้า กลัวผิดหวัง กลัวเสียใจ”
.
เอวาก็ขอถามกลับว่า “ทำไมถึงคิดว่ามันจะไม่สำเร็จไม่สมหวังล่ะคะ ในเมื่อตอนนี้เรากำลังสร้างอนาคตใหม่ให้ตัวเอง แทนที่จะมานั่งคิดถึงเหตุผล 108 อย่างที่ทำให้เราพลาดหวังจากเป้าหมาย เอาเวลามาคิดว่า ถ้าวันที่ฉันทำได้ วันที่ฉันได้ครอบครองทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ ชีวิตเราจะเป็นยังไง ไม่ดีกว่าหรอคะ?”
.
ส่วนไอ้เรื่องการกลัวเสียหน้า กลัวคนหัวเราะเยาะ แก้ไขง่ายๆ ค่ะ ก็แค่เก็บเป้าหมายเป็นความลับ ไม่ต้องไปบอกใคร ไม่ต้องประกาศที่ไหน แค่นี้เราก็มุ่งหน้าทำตามเป้าหมายแบบสบายใจ สงบใจ ได้แล้ว เอาเวลาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ มาลงมือทำให้มันสำเร็จเร็วๆ จะดีกว่าค่ะ
.
จะบอกให้นะคะ คนที่หัวเราะเยาะความฝันคนอื่น
คนพวกนั้น ไม่ค่อยมีความสำเร็จความก้าวหน้าในชีวิตหรอกค่ะ
เพราะคนประสบความสำเร็จทุกคนล้วนมีเป้าหมาย รู้อย่างชัดเจนว่าต้องการอะไร แล้วเค้าไม่ได้มีแค่เป้าหมายเดียวด้วยนะคะ หลายๆ คนมีมากถึง 500 เป้าหมายทีเดียวค่ะ
นอกจากมีเป้าหมายแล้ว เค้ายังนึกถึง คิดถึง เอาใจใส่ ตั้งใจลงมือทำเพื่อเป้าหมายกันตลอดเวลา
สิ่งสำคัญที่อัจฉริยะพูดตรงกัน คือ ต้องจินตนาการก่อน เห็นในหัวก่อน แล้วถึงเอาตัวไปลงมือทำ
.
ส่วนใครจะมาพูดว่า โอ๊ย!! เป้าหมายแบบนั้นทำไม่ได้หร้อกกกกก เพราะคนอย่างฉันยังทำไม่ได้เลย หรือคนคนนั้นเค้าดีกว่าเธอ เก่งกว่าเธอยังทำไม่ได้เลย
.
ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจค่ะ จบ 555
.
เราต้องมองหาหลักฐานคนที่ทำสำเร็จ ทำได้ในสิ่งที่เราฝัน แล้วศึกษาวิธีการของเค้า
ไม่ใช่เอาเวลาทั้งชีวิตไปฟังคนที่ไม่เคยทำได้ เชื่อคนทำไม่สำเร็จ แล้วมานั่งท้อแท้ใจ
ถูกต้องมั้ยคะ?
.
เรื่องการตั้งเป้าหมาย เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ค่ะ
มีงานวิจัยมากมายที่บอกถึงประโยชน์ของการสอนลูกให้รู้จักตั้งเป้าหมายตั้งแต่เค้ายังเล็กๆ
.
เด็กที่รู้จักคิดถึงเป้าหมาย เขียนเป้าหมาย และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ จะมีความมั่นใจในตัวเอง และ มีทัศนคติของผู้ชนะ รู้ว่าตัวของเค้ามีอำนาจที่จะทำอะไรก็ได้ในทางที่ดี
แน่นอนค่ะ เมื่อบรรลุเป้าหมายแรกเรียบร้อยแล้ว พวกเค้าจะตั้งเป้าหมายใหม่ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมทันที แบบอัตโนมัติ
.
“ก็ในเมื่อสิ่งนี้ที่มันยาก และดูท่าว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก ฉันยังทำได้เลย เฮ้ย สนุกอ่ะ ถ้าฉันทำอันนั้นได้ ฉันก็น่าจะทำอะไรที่มันใหญ่แล้วก็สนุกกว่านี้ได้อีกสิ!”
.
วันนี้เอวาขอแบ่งปัน 3 ขั้นตอนการตั้งเป้าหมายแบบง่ายๆ สำหรับให้คุณพ่อคุณแม่นำไปสอนให้ลูกเริ่มต้นลงมือตั้งเป้าหมายได้เลยทันที
ขั้นตอนที่ 1 : สอนให้ลูกคิดถึงสิ่งที่ต้องการจริงๆ
การตั้งเป้าหมาย เริ่มต้นได้เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร นี่คือขั้นตอนสำคัญอันดับแรก
ข่าวดีที่เอวาอยากบอกคุณตอนนี้ คือ สิ่งที่ต้องการนั้นจะมีเยอะแค่ไหนก็ได้
ไม่มีใครหรืออะไรมาจำกัดว่าเรามีได้แค่เป้าหมายเดียว หรือ 2 เป้าหมายเท่านั้น (ยกเว้นเราจำกัดตัวเราเอง)
.
คุณพ่อคุณแม่ ควรสอนให้ลูกคิดใหญ่ คิดให้ไกลกว่าความเป็นจริง อย่าไปเชื่อว่าคนเราต้องอยู่แบบหดๆ ตัวเล็กๆ หรือ ‘เจียมตัว’
เด็ก (รวมทั้งผู้ใหญ่ด้วย) เกิดมากับมันสมองที่เป็นอัจฉริยะอยู่แล้ว เราเกิดมาพร้อมความสามารถในการจินตนาการอยู่แล้ว
.
แต่ถ้าเราบอกให้ลูกเอาแต่เจียมตัว หรือบอกว่า “อย่าตั้งเป้าหมายให้มันใหญ่นักนะลูก ตกลงมามันจะเจ็บ มันจะผิดหวังนะลูก”
.
เค้าก็จะพัฒนาเป็นคนที่ไม่กล้าทำ ไม่กล้าคิด ไม่ได้ใช้ความสามารถอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง
รอพ่อแม่สั่งให้ทำดีกว่าง่ายดี
หรือไปคิดว่า ฉันเกิดมาเป็นแบบนี้ชีวิตก็คงได้แค่นี้แหละ
ซึ่งเป็นเรื่องต่ำกว่าศักยภาพมนุษย์มากๆ
.
เราสามารถสอนให้ลูกมีสัมมาคารวะ รู้จักเคารพผู้ใหญ่ เป็นคนมั่นใจ ในขณะที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนได้ นี่คือเรื่องที่ดี แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่แบบคนไม่มีสิทธิ์เลือก
.
เพราะธรรมชาติของมนุษย์ อยากเห็นตัวเองเติบโต ก้าวหน้าขึ้น ดีขึ้น ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน นี่คือ ความสุขสูงสุด และเป็นธรรมชาติที่สุด ค่ะ
.
ขั้นตอนที่ 2 : เพิ่มพลังให้เป้าหมายด้วย 2 องค์ประกอบนี้
สมองของเราทำงานเหมือนมิดไซล์โดยการทำงานมุ่งหน้าเข้าสู่เป้าหมาย
องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานอย่างมีพลังได้มากขึ้น คือ…
1. เป้าหมายนั้นวัดผลได้
เช่น จำนวนรางวัล จำนวนเงิน ผลคะแนน ผลการเรียน ขนาด น้ำหนัก เป็นต้น
.
2. ระบุวันเวลาที่ทำเป้าหมายนั้นสำเร็จ
เป้าหมายที่ไม่มีวันเวลาระบุไว้ เป็นแค่ ไอเดียดีๆ อันหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นก็ได้ หรือ ไม่เกิดขึ้นก็ได้ (ส่วนใหญ่จะไม่เกิดขึ้นมากกว่า)
เมื่อไม่ได้จริงจังใส่วันเวลาไว้ ก็ค่อนข้างแน่ใจได้ค่ะว่าเป้าหมายนั้น ไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง
.
ยกตัวอย่างเช่น หนูมีผลการเรียน A ทุกวิชา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 : นับและเฉลิมฉลองทุกความสำเร็จ
ปลายทางของเป้าหมายเรามุ่งหน้าสู่ความสำเร็จที่ตั้งใจไว้ แต่ระหว่างทางที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมาย คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องสร้างบรรยากาศที่ดีเพื่อให้ลูกมีแรงจูงใจด้วยนะคะ
.
สอนให้เค้ารู้ว่า ความสุขอยู่ระหว่างการเดินทาง
ความสุขอยู่ที่การได้ทำสิ่งที่ตั้งใจ
ความสุขอยู่ที่วันนี้ที่กำลังมุ่งมั่นลงมือทำอยู่
.
ให้กำลังใจลูกว่าเป้าหมายที่หนูวางไว้มันกำลังขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีแล้ว เพราะหนูไม่ได้ทำงานอยู่คนเดียว ระหว่างที่หนูออกแรงทำอยู่นั้น เป้าหมายก็ขยับเข้ามาหาเราด้วย
.
จากนั้นสอนให้ลูกรู้ว่าไม่ต้องยึดติดกับผลลัพธ์ ไม่ต้องกังวลว่าเป้าหมายนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ สนใจแค่ต้นเหตุก็พอ ให้พลังไปที่ต้นเหตุให้เต็มที่ เพราะเมื่อลูกทำต้นเหตุอย่างดีแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มันก็จะดีตามมาเอง
เช่น ลูกตั้งเป้าหมายต้องการมีผลการเรียน A ทุกวิชาภายในเทอมนี้
ลูกก็แค่ตั้งใจเรียนให้เข้าใจตั้งแต่ในห้องเรียน
ไม่เข้าใจตรงไหนถามคุณครูทันที คุณครูอยากช่วยให้เด็กเข้าใจอยู่แล้ว
ทำการบ้านให้เสร็จทุกวัน พร้อมทบทวนบทเรียนไปด้วย
เมื่อใกล้สอบก็อ่านทบทวนซัก 2 รอบ
นี่คือการใส่พลังทำต้นเหตุอย่างดี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะนำมาซึ่งเป้าหมายที่ได้ตั้งใจ
.
แต่ถ้าลูกมัวไปยึดติดกับรางวัลที่พ่อแม่จะให้ ทั้งวันมัวคิดถึงของรางวัลนั้น แล้วแต่ละวันก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทบทวนบทเรียน ไม่ตั้งใจเรียนในห้อง
เป็นแบบนี้ต่อให้มีกี่ร้อยเป้าหมาย ก็ไม่มีวันสำเร็จซักเป้าหมายเดียว
เพราะไปยึดติดกังวลกับผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
.
คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมช่วยลูกนับความสำเร็จเล็กๆ และเฉลิมฉลองด้วยนะคะ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เค้าลงมือทำได้ตลอดไป
.
ยกตัวอย่างเช่น ลูกมีเป้าหมายอยากได้ผลการเรียนเทอมนี้ที่ A ทุกวิชา
เมื่อลูกทำคะแนนได้ดี ในการสอบท้ายบท หรือ การสอบมิดเทอม
ให้พ่อแม่ชื่นชมเค้า บอกว่าเชื่อมั่นในตัวเค้ามากแค่ไหน
บอกเค้าว่า นี่คือสัญญาณที่ดีที่บอกได้แล้วว่าเป้าหมายที่หนูวางไว้นั้น หนูบรรลุมันได้แน่นอน
แล้วให้รางวัลเล็กๆ ด้วยการพาไปทานไอศกรีม ก็ได้ค่ะ เป็นรางวัลของคนเก่งนักลงมือทำ
.
แบบนี้ลูกจะเข้าใจได้ทันทีว่า ความสำเร็จทุกอย่าง มาจากการวางแผน + ลงมือทำ
.
แน่นอนค่ะว่าการตั้งเป้าหมาย บางครั้งลูกก็อาจทำไม่ได้ตามนั้น (ซึ่งมันเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว ผู้ใหญ่เราวางเป้าหมายไว้แล้ว อาจใช้เวลานานกว่าที่ตั้งใจก็เป็นได้)
.
มีบางเป้าหมายที่วันเวลาที่ระบุมาถึงแล้ว แต่ลูกก็ยังทำตามที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมาลงโทษลูกเลย
.
เพราะเราสามารถให้กำลังใจเค้าได้ว่า...
จากเรื่องนี้หนูได้เรียนรู้อะไรบ้างลูก
หนูจะทำยังไงให้มันดีขึ้นได้บ้างคะ
หนูควรจะพัฒนาตัวเองยังไงได้บ้างคะ
พ่อแม่เชื่อว่าหนูทำได้แน่นอน พ่อแม่เชื่อมั่นในตัวหนูนะคะ หนูไม่สบายใจตรงไหนคุยกับคุณแม่ได้นะลูก
.
และคุณเชื่อมั้ยคะ?
เป้าหมายบางข้อ แค่ลูกบรรลุไปครึ่งเดียว แค่นั้นก็มาไกลจากจุดเดิมมากมายนักแล้วค่ะ
ก่อนจบบทความพูดได้บทที่ 25 ในวันนี้
เอวาอยากฝากคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่า แก่นแท้ของการตั้งเป้าหมาย มีไว้เพื่อกำหนดทิศทาง เพื่อให้ลูกโฟกัสให้ถูกที่ ให้สมองหาทาง และมองเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
.
ความคิด ความฝัน และจินตนาการ ไม่มีต้นทุนอะไรเลย
ไม่มีเป้าหมายไหนตลกหรือน่าขำ
ไม่มีเป้าหมายไหนที่ไม่สำคัญ
เมื่อลูกรู้ว่าเค้าเป็นเจ้าของความฝันอันนั้น เค้าจะมีความตั้งใจ ลงมือทำอย่างมีแรงบันดาลใจ เพื่อให้เป้าหมายนั้นเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
.
พ่อแม่มีหน้าที่ส่งเสริมความคิดและความฝัน ให้ความมั่นใจว่าหนูเลือกได้ทุกอย่าง หนูเป็นและมีได้ทุกอย่างในทางที่ดีเท่าที่ใจต้องการ
.
ลูกสามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้
เมื่อรู้ว่าต้องการอะไรอย่างชัดเจน
.
แล้วพบกันใหม่ในบทความพูดได้บทต่อไปนะคะ
ขอให้ทุกวันของคุณ คือ วันแห่งความก้าวหน้าค่ะ
รัก
ครูเอวา จิตสุทธิภากร
Teacher to the Mompreneurs